วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ลักษณะทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของจระเข้

  
                           ลักษณะทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของจระเข้
            จระเข้ออกลูกเป็นไข่ก่อนแล้วจึงฟักออกเป็นตัว(Oviporous)ซึ่งตัวอ่อนที่ออกมาจะมีรูปร่างลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยและมีขนาดเล็กกว่าและมีสีคล้ำกว่า รูปร่างของจระเข้ก็คล้ายกับจิ้งจกแต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่าสำหรับการเจริญเติบโตก็มีตั้งแต่ขนาดปานกลางจนถึงขนาดใหญ่มากร่างกายปกคลุมด้วยผิวหนังที่แข็งแรง ลักษณะคล้ายกับเกราะคลุมตัว จะมีจุดอ่อนเพียง 2 แห่ง คือลูกตา และปลายจมูกที่อ่อนนุ่นเท่านั่น โดยทั่วไปจระเข้ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียจระเข้มีหัวขนาดใหญ่ กะโหลกศีรษะแข็ง มีผิวหนังที่หนามาก ผิวหนังส่วนหัวที่เชื่อมติดกับกะโหลกศีรษะบริเวณคอตรงส่วนท้ายทอยมีปุ่มเกล็ดแข็ง (Post occipitalscale) เห็นชัด ซึ่งจำนวนและการเรียงตัวของปุ่มเกล็ดแข็งนี้สามารถนำไปใช้จำแนกชนิดพันธุ์ของจระเข้ที่จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ จระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น จึงชอบอ้าปาก เพื่อถ่ายเทความร้อนจากภายนอกมาสู่ร่างกาย ฟันของ มันมีไว้จับและคาบเหยื่อ ไม่สามารถเคี้ยวได้ ท้อง เพราะว่ามันเป็นสัตว์ที่เคียวอาหารไม่ได้ปากของจระเข้จะมีลักษณะยาว ปลายปากเชิดงอนขึ้นคล้ายปากงู เนื่องจากพังผืดที่สามารถยืดหดได้มาก ของจระเข้จึงแบ่งเป็น 2 ส่วน คือกระเพาะและช่อง ย่อยอาหาร ปกติมันจะกลืนหิน กรวด เข้าไปในกระเพาะเพื่อช่วยย่อยอาหาร   จระเข้มีหัวใจ 4 ห้องที่ประสิทธิภาพมากกว่าสัตว์เลื้อยคลานประเภทอื่น ที่มีกุยเพียง 3 ห้อง เลือดจะไหลจากหัวใจห้องปลายขวา ไปยังเส้นโลหิตแดงในปอด เพื่อฟอกออกซิเจนในปอด และจะ กลับไปยังหัวใจซีกซ้าย ผ่านไปยังหัวใจห้องปลายซ้าย กระทั่งสูบฉีดออกไปเลี้ยงร่างกาย ฟันของจระเข้จะมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย (Conical shape) ฝังแน่นอยู่บนขากรรไกรบน(Upper jaw)และขากรรไกรล่าง (Lower jaw) ฟันจระเข้จะแบ่งออกเป็น 2 จุดด้วยกันคือ ชุดฟันที่มีขนาดใหญ่และชุดฟันที่มีขนาดเล็ก ซึ่งฟันของจระเข้นี้ไม่สามารถเคี้ยว(chewing) เหยื่อหรืออาหารจะใช้เพียงสำหรับจับงับ(holding,seizing) เหยื่อหรืออาหารเท่านั้น ในจระเข้สกุล Crocdylus หุบปากจะมองเห็นฟันซี่ที่ 4ตรงกับรอยคอด (notch) ของขากรรไกรบน สำหรับจระเข้ในสกุลอื่นๆจะมองไม่เห็นฟันดังกล่าวเมื่อหุบปากลง จระเข้สกุล Crocodylus มีฟันบนประมาณ 28-32 ซี่ และฟันล่างประมาณ 28-30 ซี่ สำหรับสกุล Tomistoma มีฟันบนประมาณ 40-42 ซี่และฟันล่างประมาณ 36-38 ซี่ ขากรรไกรหรือกรามของจระเข้จะแข็งแรงมาก มีความแรงในการงับประมาณ 545 กิโลกรัม หรือประมาณ 1200 ปอนด์ต่อ 1 ตารางนิ้ว ลิ้นของจระเข้จะหนาและกว้างมากติดอยู่กับขากรรไกรล่าง สามารถทำให้สูง-ต่ำได้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าสู่ลำคอในขณะอ้าปาก จระเข้วงศ์ Gavialidae มีต่อมขจัดเกลืออยู่บนลิ้น จระเข้มีต่อมกลิ่นอยู่คู่หนึ่งที่โคนกรามล่าง ทำหน้าที่ผลิตสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัวออกมาในฤดูผสมพันธุ์ เพื่อทิ้งกลิ่นไว้ให้จระเข้ที่เป็นคู่ตามมาพบเพื่อผสมพันธุ์กัน (อีกคู่หนึ่งจะซ่อนอยู่ภายในรูทวารหนัก) จมูกจระเข้จะยาวมากใช้สำหรับหายใจและดมกลิ่นอาหาร (โดยภายในช่องปากจะมีโพรงหรือกระเปาะอยู่ภายในใช้ดมกลิ่น ซึ่งจระเข้สามารถดมกลิ่นไม่ไกลมาก) จระเข้มีรูจมูก 2 รู ตั้งอยู่บนก้อนขี้หมาสามารถยืดหยุ่นปิดเปิดได้เวลาค่ำจะปิดสนิท ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าจมูกได้ หูของจระเข้จะตั้งอยู่บริเวณส่วนหลังของตา ข้างละ 1 รู ซึ่งแต่ละรูก็จะมีเนื้อเยื่อบางๆสำหรับควบคุมการปิดเปิดรูหู

        ตาของจระเข้ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าระดับหน้าและอยู่ในระดับเท่ากับจมูก ลูกตาของจระเข้ในเวลากลางวัน ตาดำจะเหลือเป็นเส้นนิดเดียว เวลากลางคืนจะขยายกว้างออกเป็นวงกลม ตาจระเข้นอกจากจะมีหนังตาปิดเปิดแล้ว ยังมีเยื่อหรือม่านตาใสบางปิดเปิดทางด้านในของหนังตา ทำให้สามารถลืมตามองเห็นในน้ำได้ดีอีกด้วย  ที่บริเวณส่วนหัวของจระเข้จะเป็นแผ่นหนังที่หนาหุ้มคลุมกะโหลกศีรษะไว้ ไม่มีเกล็ดชิ้นเล็กๆหุ้มคลุมชัดเจน เช่น สัตว์จำพวกกิ้งก่า ที่ลำคอจระเข้จะมีเกล็ดขนาดเล็กหุ้มคลุม และส่วนบนของลำคอนี้ก็ยังมีเกล็ดขนาดใหญ่หุ้มคลุมด้วยมีจำนวนและลักษณะการเรียงแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ ที่ท้องจระเข้จะมีเกล็ดขนาดเล็กหุ้มคลุม ที่ใต้ท้องจระเข้จะมีผิวหนังบางแต่เหนียวและมีเกล็ดขนาดเล็กเช่นกัน ที่หลังจระเข้จะประกอบไปด้วยสันเกล็ดเป็นแนวตลอดทั้งลำตัวจนถึงประมาณเกล็ดที่ 10 ของเกล็ดส่วนหาง ที่ขาทั้ง4จะมีเกล็ดขนาดเล็กๆหุ้มคลุม นิ้วมีพังผืด และมีเล็บยาวแข็งแรงมากสำหรับที่หางจะมีเกล็ดเดี่ยวหุ้มคลุม

3.2) แอลลิเกเตอร์จีน หรือ จระเข้ตีนเป็ดจีน (อังกฤษ: Chinese alligator; จีนตัวย่อ: 扬子鳄; จีนตัวเต็ม: 揚子鱷; พินอิน: yáng zǐ è)

  

เป็นแอลลิเกเตอร์หนึ่งในสองชนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alligator sinensis มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร น้ำหนักมากกว่า 40 กิโลกรัม ทำรังด้วยการขุดโพรงวางไข่ที่ชายหาดริมฝั่งแม่น้ำ พบอาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีน แถบมณฑลอันฮุย เจียงซูและเจ้อเจียงเท่านั้น ครั้งหนึ่ง แอลลิเกเตอร์ชนิดนี้ เคยมีอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีน แต่ในปัจจุบัน ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน 10 อันดับสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในอนาคตของโลก เนื่องจากปัญหาด้านมลพิษ และอุณหภูมิที่สูงขึ้นรวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงชีวิตของมัน ซึ่งปัจจุบันคาดมีปริมาณแอลลิเกเตอร์จีนอาศัยอยู่ในธรรมชาติราว 120 ตัว ซึ่งสถานะการอนุรักษ์ของแอลลิเกเตอร์จีน จัดอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต และติดอยู่ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) และอยู่ในบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 (Appendix I) ของไซเตส ซึ่งห้ามค้าขายโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะกระทำไปเพื่อการอนุรักษ์หรือวิจัย แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากประเทศต้นกำเนิดเสียก่อน ปัจจุบัน ทางการจีนได้มีการอนุรักษ์และเพาะขยายพันธุ์แอลลิเกเตอร์จีนมาแล้วกว่า 30 ปี ซึ่งผลจากการอนุรักษ์และเพาะพันธุ์ที่ผ่านมานี้ทำให้มีลูกแอลลิเกเตอร์จีนเกิดมากขึ้นและมีเปอร์เซนต์รอดในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นจากอดีตในรอบ 5 ปี และคาดว่าจะมีปริมาณแอลลิเกเตอร์จีนเพิ่มขึ้น 300 ตัว ในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า




3.1 แอลลิเกเตอร์อเมริกา หรือ จระเข้ตีนเป็ดอเมริกา (อังกฤษ: American alligator, Gator)

เป็นสัตว์เลื้อยคลานเฉพาะถิ่นที่พบเฉพาะในทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เป็นแอลลิเกเตอร์หนึ่งในสองชนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก  มีขนาดใหญ่กว่าแอลลิเกเตอร์จีน ที่พบในประเทศจีนแอลลิเกเตอร์อเมริกา มีฟันที่แหลมคมในปาก สามารถงอกใหม่ทดแทนกันได้ทันที ประมาณว่ามีทั้งหมดราว 1,000 ฟันตลอดทั้งชีวิต อายุขัยโดยเฉลี่ย 30-50 ปี ตัวผู้โตเต็มที่มีความยาว 3.4 เมตร (11 ฟุต) ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มีความยาวประมาณ 2.6 เมตร (8.5 ฟุต) บางครั้งตัวผู้ที่มีอายุมากอาจยาวได้มากกว่า 4 เมตร (13 ฟุต)แอลลิเกเตอร์อเมริกา อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น อุทยานแห่งชาติเอเวอร์เกลดส์ ในรัฐฟลอริดา เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน สามารถซ่อนตัวในโคลนตมหรือดงหญ้าได้เป็นอย่างดี กินอาหารได้หลากหลาย ทั้ง ปลากวางงูหลาม แม้กระทั่งเต่า ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีกระดองแข็งหุ้มตัว เพราะจากการมีส่วนปลายของหัวแผ่กว้างและสั้นจึงหุบปาก จึงทำให้มีแรงงับจากกรามรุนแรงมากแอลลิเกเตอร์อเมริกา อาศัยอยู่ในถิ่นที่อยู่ที่มีอากาศอบอุ่น แต่ในฤดูหนาวที่ผิวหน้าน้ำแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ในระยะแรกเชื่อกันว่าในช่วงนี้แอลลิเกเตอร์อเมริกาจะเสาะหาพื้นที่ใต้น้ำหรือใช้โพรงดินเพื่อหลบเลี่ยงอากาศหนาว การศึกษาโดยใช้วิทยุติดตามตัวจึงทราบว่า แท้ที่จริงแล้วแอลลิเกเตอร์อเมริกาได้เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังบริเวณน้ำตื้นและโผล่เฉพาะช่องเปิดจมูกขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพื่อหายใจ เนื่องจากไม่สามารถลดระดับเมตาบอลิซึมในช่วงเวลาดังกล่าวได้จึงต้องใช้ออกซิเจนตลอดเวลาและหายใจโดยโผล่เฉพาะช่องเปิดจมูกขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และขึ้นจากน้ำในเวลากลาสงวันเพื่อพึ่งแดด ซึ่งตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของแอลลิเกเตอร์จีน ที่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะใช้วิธีการจำศีลภายในโพรงที่ขุดขึ้นมา มีทั้งโพรงแห้งและโพรงน้ำ ระบบภายในโพรงมีความซับซ้อนเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เป็นสัตว์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ และเคยมีแอลลิเกเตอร์อเมริกางับแขนนักท่องเที่ยวขาดมาแล้วในสวนสัตว์ และเคยมีกรณีบุกเข้าไปอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยอย่างบ้านเรือนของมนุษย์ เช่น สระว่ายน้ำ หรือแม้แต่ในท่อระบายน้ำ





3. แอลลิเกเตอร์ (จระเข้ตีนเป็ด)


แอลลิเกเตอร์ หรือ จระเข้ตีนเป็ด (อังกฤษAlligator; เรียกสั้น ๆ ว่า เกเตอร์: Gator) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodilia) ในวงศ์ Alligatoridae ใช้ชื่อสกุลว่า Alligator
แอลลิเกเตอร์เป็นจระเข้ที่อยู่ในวงศ์ Alligatoridae ซึ่งแยกมาจากจระเข้ทั่วไปส่วนใหญ่ที่จะอยู่ในวงศ์ Crocodylidae ซึ่งแยกออกมาจากกันราว 200 ล้านปีก่อน ในมหายุคมีโซโซอิก และไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง แอลลิเกเตอร์จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่ง 
แอลลิเกเตอร์ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากจระเข้ในวงศ์ Crocodylidae หรือจระเข้ทั่วไป คือ เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นจะงอยปากสั้นและเป็นรูปตัวยูรูจมูกมีขนาดใหญ่ และเมื่อหุบปากแล้วฟันล่างจะไม่โผล่ออกมาให้เห็น เพราะมีส่วปลายของหัวแผ่กว้างและขากรรไกรยาว ส่วนปลายของขากรรไกรล่างซ้ายและขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกแอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ห่างจากแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลาเป็นช่องกว้าง กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ่นมีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้น
ปัจจุบัน แอลลิเกเตอร์ มีอยู่ ชนิดเท่านั้น คือ แอลลิเกเตอร์อเมริกัน (Alligator mississippiensis) ซึ่งถือเป็นสัตว์จำพวกจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ และแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) ที่พบในลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนเท่านั้น และเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว

ซึ่งคำว่า แอลลิเกเตอร์นั้น มาจากภาษาสเปนคำว่า "Lagarto" หมายถึง "สัตว์เลื้อยคลาน

2.2 ตะโขงอินเดีย

                   ตะโขงอินเดีย หรือ กาเรียล (อังกฤษ: Gharial, Indian gavial, Gavial; ฮินดี: घऱियालมราฐี: सुसर Susar) เป็นสมาชิกเพียงไม่กี่ชนิดที่เหลืออยู่ของวงศ์ตะโขง (Gavialidae) ซึ่งเป็นกลุ่มของจระเข้ที่มีปากแหลมเรียวยาว ตะโขงอินเดียได้รับการจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามอยู่ในขั้นวิกฤตโดย IUCNตะโขงอินเดียนับเป็นจระเข้หนึ่งในสามชนิดที่พบในประเทศอินเดีย ส่วนชนิดอื่นก็มีจระเข้อินเดีย (Crocodylus palustris) และจระเข้น้ำเค็ม (C. porosus) เป็นหนึ่งจระเข้ที่ยาวที่สุดของจระเข้ในปัจจุบันมีความยาวเต็มที่ได้ 6.5 เมตร นับเป็นจระเข้ชนิดที่ชอบอาศัยอยู่ในน้ำมากที่สุดในบรรดาสัตว์ในอันดับจระเข้ที่สุด เมื่อขึ้นมาบนบกจะอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงในแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลึก หรือบริเวณลำห้วยที่ติดกับแม่น้ำ ชอบนอนพึ่งแดดโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ตัวผู้เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์จะมีตุ่มขึ้นมาที่ส่วนปลายทางของด้านบนปาก ซึ่งเรียกในภาษาฮินดีว่า "การ่า" ตุ่มนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดถึงประโยชนของตุ่มอันนี้ แต่สันนิษฐานว่าอาจเป็นสิ่งให้กำเนิดเสียงเพื่อการสื่อสารเพื่อหาคู่ ซึ่งได้ยินไปไกลถึง 1 กิโลเมตร เพราะอยู่ติดกับช่องเปิดจมูกและล้ำเกินมาช่องเปิดจมูก เนื่องจากตัวผู้ที่มีตุ่มก้อนใหญ่ที่สุดมักจะเป็นผู้นำฝูง หากินปลาในน้ำ วางไข่โดยขุดโพรงตามริมฝั่งแม่น้ำไข่ของตะโขงอินเดีย นับเป็นไข่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาจระเข้ทั้งหมด ไข่จะถูกฝังอยู่ใต้ทรายภายใต้อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส โดยตะโขงอินเดียตัวเมียจะเป็นฝ่ายเฝ้าดูแลไข่นานถึง 2 เดือน ตะโขงอินเดียสามารถวางไข่ได้มากถึงเกือบ 100 ฟองนอกจากจะพบได้ที่อินเดียแล้ว ยังสามารถพบได้อีกหลายประเทศในเอเชียใต้ อาทิ เนปาลภูฐาน,บังกลาเทศปากีสถาน และพบได้อีกที่พม่า 
ถิ่นอาศัย
ตามแหล่งน้ำจืด เช่น บึงน้ำ แม่น้ำ ทะเลสาบ
การขยายพันธุ์ 
ออกลูกเป็นไข่ ครั้งละ 30-60 ฟอง ใช้เวลากกไข่ประมาณ 90 วัน
อาหาร
แมลง กบ ปลา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก












2.1 ตะโขงมลายู

                                ตะโขง หรือ จระเข้ปากกระทุงเหว หรือ ตะโขงมลายู (อังกฤษ: Malayan gharial, False gharial; ชื่อวิทยาศาสตร์: Tomistoma schlegelii) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในอันดับจระเข้ อยู่ในวงศ์ตะโขง (Gavialidae) จัดเป็นหนึ่งในสองชนิดของวงศ์นี้ที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน แต่จัดว่าเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Tomistoma
มีลำตัวขนาดปานกลาง ความยาวเต็มที่ประมาณ 2.80-3.0 เมตร ปากแหลมเรียวยาวมาก แต่ไม่มีก้อนเนื้อตอนปลายจมูกเหมือน ตะโขงอินเดีย(Gavialis gangeticus) มีแถบสีดำพาดขวางลำตัวและหางพบกระจายพันธุ์อยู่ในคาบสมุทรมลายูและภูมิภาคอินโดจีน เช่น ไทยมาเลเซียเวียดนามกาลิมันตันบอร์เนียวสุมาตรา และพบถึงประเทศออสเตรเลียทางตอนเหนือ โดยมักอาศัยที่อยู่บริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อยหรือป่าชายเลน แม้จะมีลำตัวที่ใหญ่แต่ทว่าด้วยรูปทรงของปากที่เรียวเล็ก ทำให้ตะโขงสามารถกินอาหารได้เพียงไม่กี่ประเภท เช่น ปลา เท่านั้น เป็นต้น
           ถิ่นกำเนิด : ตอนใต้ของประเทศไทยและในคาบสมุทรมลายู สุมาตรา กะลิมันตันและบอร์เนียว อาศัยตามน้ำกร่อย และป่าชายเลน
           ลักษณะ : ขนาดปานกลาง ความยาวประมาณ 2.80-3.0 เมตร ปากแหลมเรียวยาวมาก แต่ไม่มีก้อนเนื้อตอนปลายจมูก เช่น ตะโขงอินเดีย มีแถบ  สีดำพาดขวางลำตัวและหาง
           ชีววิทยา : ตะโขงเพศเมียถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 5-6 ปี หรือความยาว 2.5-3.0 เมตร
           ทำรัง : โดยพูนดินและวัชพืชขึ้นบนชายฝั่ง
           วางไข่ : ครั้งละ 20-60 ฟอง ในฤดูแล้ง 

 การเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงเพิ่งประสบความสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2548 จากฟาร์มจระเข้ สมุทรปราการ เป็นครั้งแรกของโลก โดยได้พ่อแม่พันธุ์จากประเทศสิงคโปร์









2. วงศ์ตะโขง

วงศ์ตะโขง (อังกฤษ: Gharial, Gavial; วงศ์: Gavialidae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodylia) วงศ์หนึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากจระเข้ในวงศ์อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ มีส่วนปลายของหัวเรียวยาวและยาวมากที่สุดจนเป็นลักษณะเฉพาะ เมื่อหุบปากแล้วจะยังเห็นฟันครึ่งทางของด้านหน้าของขากรรไกรทั้งด้านบนและด้านล่าง กระดูกเอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ชิดกับแถวฟันที่กระดูกแมคซิลลา กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยเข้าไปในช่องเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ้นไม่มีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้นหรือมีก็มีขนาดที่เล็กมากจากปากที่เรียวยาวและแคบทำให้จระเข้ในวงศ์ตะโขงนี้กินได้เฉพาะสัตว์น้ำอย่าง ปลาเท่านั้น
         ตะโขงในไทย

           สถานภาพในธรรมชาติของตะโขงนับว่าใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว สำหรับในประเทศไทยไม่พบมีรายงานการพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ในอดีตมีรายงานการพบบ้างที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อปี พ.ศ. 2503 และ พ.ศ. 2504 ในระยะหลังมีรายงานการพบบ้างที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี,เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสิรินธร (ป่าพรุโต๊ะแดง) จังหวัดนราธิวาส แต่ก็พบเพียง 1-2 ตัวเท่านั้นในกลางปี พ.ศ. 2550 ได้มีการพบตะโขงขนาดเล็กที่ฝายเก็บน้ำคลองถูป อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี